เทศน์เช้า

รู้สมมุติ

๒๓ ม.ค. ๒๕๔๓

 

รู้สมมุติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เป็นมนุษย์นี้ประเสริฐสุด แต่ได้ร่างกายของมนุษย์มา แต่ร่างกายของมนุษย์นี้ก็เป็นเรือนรังของโรค โรคทุกอย่างมาลงอยู่ที่ร่างกายมนุษย์ไง เซลล์มันต้องแปรปรวนไปตลอด เห็นไหม นี่เวลาถ้าเป็นอริยทรัพย์ ได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐมากเลย แต่มันก็ได้ติดพร้อมมากับโรค แล้วในธรรมะอีกข้อหนึ่ง เห็นไหม “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”

โรคภัยไข้เจ็บ บางคนมีมากบางคนมีน้อย บางคนไม่มีเลย เห็นไหม เกี่ยวกับการมีบุญกุศลมาเหมือนกัน อย่างพระสีวลีมีลาภมากเลย มันก็มีองค์หนึ่งไม่มีโรคเลย พระอะไร เป็นผู้เลิศมาก พระพากุละ ไม่เคยมีโรคเลย จนอายุร้อยกว่าปีไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แต่บางองค์เกิดมาก็เป็นโรคเรื้อนเลย มันย้อน อยู่ที่ว่าความหลังด้วย ความหลังคือว่าบุญกุศลที่ได้สะสมมา นี่บุญกุศลสำคัญตรงนี้

ที่ว่าทำบุญทำกุศลกันน่ะ มันสำคัญตรงนี้ ตรงที่ว่า ปัจจุบันนี้ก็ให้เราได้บุญกุศล คือว่าสบายใจ ความสบายใจคือความสุขใจ บุญคือความสุขของใจ ใจนี้มีความสุขของใจไง ใจพอเพียง ใจพออยู่พอ มันทำให้มีความสุขพอสมควรในปัจจุบันนี้ แต่มันยังส่งผลไปอีก เพราะว่าสุขอันนี้มันสุขในปัจจุบันไง ปัจจุบันนี้แก้กิเลส

ถึงว่า โลกนี้เป็นโลกของสมมุติ สมมุติสัจจะ เห็นไหม ถ้าโลกนี้เป็นโลกสมมุติ เราจะรื้อให้หมดเลย ศาสนาสอนว่าให้พ้นจากสมมุติ ก็ไม่ถือวัฒนธรรม ศีลธรรม ประเพณีทางโลกได้อย่างไร มันเป็นสมมุติสัจจะ แต่สมมุติอันนี้มาแก้ความเห็นของเราส่วนตัวไง คือว่าสมมุติคือของชั่วคราว แต่มีจริงอยู่ สัญญา เวลาทำสัญญากันแล้ว สัญญาให้ผลตามกฎหมาย เห็นไหม เป็นสมมุติเหมือนกัน แต่พอไปแก้สัญญา คือว่าไปแก้สัญญาหนึ่ง หรือว่าเราไปชำระหนี้ตามสัญญานั้นแล้ว สัญญานั้นเลยหมดคุณค่าไป เห็นไหม สมมุติสัจจะคือมีบังคับใช้ชั่วคราว

เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็สมมุติสัจจะ เห็นไหม มันไม่ใช่อริยสัจ อริยสัจจะเป็นอีกอันหนึ่ง เห็นไหม ว่าสมมุติสัจจะ ถึงว่าเป็นสมมุติสัจจะแล้วเราไม่ติดข้องมันเลย ไม่ติดข้องมันเลยนี่รื้อมันทิ้งไปโดยที่ว่าเป็นแบบโลก...ไม่ได้

มันให้ละกันที่อุปาทาน ละกันด้วยการยึดมั่นถือมั่นของเรา ความละคือความเข้าใจ ความยึดมั่นถือมั่นอันนี้แล้วออกไป ไอ้สมมุติสัจจะมันก็มีอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่มันจะเห็นทับซ้อนขึ้นมาอีกอันหนึ่งว่าเป็นอริยสัจจะ

ความจริงทับซ้อนออกมา เห็นไหม สมมุติสัจจะ สมมุติบัญญัติ แล้วก็วิมุตติพ้นออกไปจากสมมุติบัญญัติทั้งหมดเลย ถ้าเป็นสมมุตินี่ภาษาของโลกต่างกัน บัญญัติขึ้นมา เห็นไหม พระเวลาไปอยู่ที่อเมริกา ทุกสัญชาติไปสวดมนต์เหมือนกันหมดเลย เพราะว่าเป็นบัญญัติ บัญญัติเหมือนกันนะ สัญชาติไหนก็แล้วแต่ไปอยู่ที่อเมริการวมกัน เวลาเขานิมนต์ไปบ้าน นี่บัญญัติ

บัญญัติคือคำพระพุทธเจ้าทับซ้อนให้โลกนี้พูดเป็นภาษาเดียวกัน ให้สื่อสัมพันธ์กันได้ แม้แต่สื่อในโลกของเราแล้วนะ ยังสื่อถึงโลกของเทวดาของอะไร เช่น เทวดามาฟังธรรมครูบาอาจารย์น่ะ อยากจะฟังธรรมบทไหนๆ นี่กำหนดเป็นภาษาใจ เป็นภาษาบาลีมา นี่หลวงปู่มั่นก็เทศน์ภาษาเทศน์ออกไปเลย เห็นไหม นี่บัญญัติแล้วยังทับว่าเฉพาะโลกนี้ให้เป็นภาษาเดียวกัน ๓ โลกธาตุนี้เป็นภาษาเดียวกัน นี่บัญญัติ

บัญญัติแล้วก็ยังเป็นสมมุติอันหนึ่ง คือว่าสื่อกันได้อยู่ จนเป็นวิมุตติสัจจะออกไป

นี่ย้อนกลับมา ถ้าเป็นสมมุติสัจจะ เราจะโยนทิ้งไปเลย เราไม่อยากดูแลรักษามันเลย ทำไมอย่างครูบาอาจารย์นี่อยากให้อยู่กันเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรานานๆ ล่ะ อันนั้นก็เป็นสมมุติสัจจะอันหนึ่ง แต่สมมุตินี่ เพราะท่านปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง ถึงอยากให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไง ความเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา ความอบอุ่นใจอันนี้ ถึงจะเป็นสมมุติ แต่เพราะท่านทิ้งสมมุติแล้ว พอทิ้งสมมุติ จะเป็นบัญญัติ บัญญัติก็ชั่วคราว มันเป็นวิมุตติในหัวใจอันนั้น ถ้าทิ้งอันนั้นได้แล้ว ท่านก็อยู่ในสมมุตินั่นแหละ อยู่กับหลักความจริงเรานี่แหละ เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน เขาโรงพยาบาลเหมือนกัน แต่หัวใจนั้นร่าเริง เห็นไหม

ถึงว่า เวลาป่วย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตามแต่ว่าเรือนรังของโรคมันแสดงตัว มันไม่สะเทือนหัวใจไง หนึ่ง ไม่สะเทือนหัวใจ

แล้วไปหาหมอนี่หมอตกใจนะ หมอแมะมือแล้วตกใจ หมอนี่หน้าเสีย นี่อยู่ได้อย่างไร เห็นไหม แล้วท่านอยู่ได้อย่างไร เพราะว่าอาการของชีพจรมันไม่มีแล้ว ทุกอย่างมันไม่มีหมด แล้วมันอยู่ได้อย่างไร หมอกลับตกใจ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะหัวใจดวงนั้นมันมีธรรมในหัวใจ ธรรมโอสถ

คือว่าการออกกำลังกายก็มีส่วน มีส่วนในร่างกายนี้มันขับเคลื่อน มันส่งพลังงาน มีสารเคมีออกมาในร่างกาย แต่วิมุตติสัจจะ หัวใจที่ทำแล้วนะ แค่ทำสมาธินี่แหละ พอทำสมาธิ หัวใจพักผ่อน มันก็ได้ส่งเข้ามาแล้ว ส่งเข้ามาหมายถึงว่า ใจนี่มันผ่อนคลายเข้ามา ความที่ว่ามันต้องหมุนเวียนออกไปแบบเครื่องยนต์มันติดไม่เคยดับ มันหมุนออกไป ร่างกายมันใช้มาก นี่วิตกวิจารณ์ มันเลยย้อนกลับมา

นี่ศาสนาสอนตรงนั้นไง สอนให้เห็นทั้งสมมุติด้วย สมมุติ เห็นแล้วไม่ใช่ว่าจะทำลายมันหรือว่าจะไปวิตกวิจารณ์ไปกับมัน แต่เข้าใจตามความเป็นจริง เห็นไหม พอเข้าใจนี่ อย่างเด็กไม่เข้าใจสิ่งใดมันก็ต้องร้องตามแต่ความต้องการของมัน มันยึดมันเป็นใหญ่แล้วมันไม่ฟังใครทั้งสิ้นเลย นี้เหมือนกัน ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้เราก็เหมือนกับจิตเราเป็นเด็กๆ เราจะไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย แต่ถ้าเราโตขึ้นมานี่มันจะปล่อยว่าอันนั้นเป็นกติกาสังคม พอกติกาสังคมเราก็ยอมรับๆ

ไอ้นี่ก็กติกาของสังคมเพื่อความเป็นไป กติกาของเรา กติกาภายในหัวใจ

ถ้ายอมรับสมมุติ มันมีจริงนี่ มันไม่ใช่ไม่มีจริง แต่ยอมรับเฉยๆ แต่ไม่ใช่ไปวิตกกังวลกับมัน วิตกกังวลนั้นเป็นกิเลส เห็นไหม อุปาทานยึดมั่นถือมั่น นั้นเป็นกิเลส ถ้าอุปาทานอันนั้นปล่อยได้มันก็ปล่อยสมมุติไป ปล่อยสมมุติเข้าไปก็เป็นบัญญัติ บัญญัติมันทับสมมุติ จะปล่อยได้ต้องมีบัญญัติมา...มีเหตุผลที่มากกว่า มีปัญญาที่มากกว่า เหตุผลอันนั้นมามีน้ำหนักมากกว่าเหตุผลของเราเอง เหตุผลพระพุทธเจ้าไง ถึงให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า เห็นไหม

เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มีศีล ความปกติของใจก่อน มีศีลก่อน แล้วมีสมาธิ ใจตั้งมั่น มีสมาธิตัวสำคัญมาก สมาธิต้องมีสติด้วย มีสติถึงมีสมาธิได้ มีสมาธิมันให้แบ่งแยกอะไรผิดอะไรถูกได้ชัดเจนไง ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ สมาธิเกิดขึ้นไม่ได้

แบ่งแยกชัดเจนในหัวใจนะ ไม่ใช่แบ่งแยกชัดเจนภายนอก ในใจนั่นมันจะแบ่งแยกไปภายในหัวใจ มันจะแบ่งแยกไปเอง แบ่งแยกไป แบ่งแยกความคิดเราไง แบ่งแยกความคิดที่ไปคิดติดข้อง นี่มันไปติดข้อง แล้วมาแบ่งแยกตรงนี้ พอแบ่งแยก ฝ่ายที่ดี ฝ่ายที่ถูกต้อง จัดระบบความคิดให้ถูกต้อง นี่ระบบความคิดดีขึ้นๆ มันก็เป็นสมาธิโดยธรรมชาติของมัน

สมาธิมันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่สามารถจะให้มันอยู่ได้นาน ไม่สามารถทรงไว้ได้ สมาธิมันถึงเกิดขึ้น เห็นไหม สมาธิมันมีอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่มีสมาธิ เราต้องเป็นคนเสียสติไป ต้องเป็นคนเสียสติ เป็นคนใบ้บ้า แต่นี่มีอยู่ มีอยู่ในประสาของมัน แล้วเราจะเจริญให้มากขึ้นๆ เราต้องเจริญให้มากขึ้น พอเจริญมากขึ้น ร่างกายก็แข็งแรง หัวใจก็เข้มแข็ง เห็นไหม ถ้าหัวใจเข้มแข็งแล้วร่างกายยิ่งสุขสบายขึ้นไปอีก เอวังแล้ว